เริ่มต้นทำ Podcast ด้วยตัวเองต้องใช้อะไรบ้าง? บทความนี้มีคำตอบ
ในช่วงหนึ่งถึงสองปีมานี้ Podcast กำลังเป็นที่นิยมในประเทศไทย มีจำนวนคนจัดรายการและคนฟังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากแต่ก่อนที่เนื้อหาส่วนใหญ่จะมาจากต่างประเทศเป็นภาษาอังกฤษสะเป็นส่วนใหญ่ก็เลยทำให้ไม่ค่อยได้รับความนิยม บวกกับการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่หลายคนอาจจะไม่เข้าใจการใช้งานหรือไม่รู้ต้องใช้อะไรบ้าง จะยุ่งยากหรือเปล่า บทความวันนี้จะแบ่งปันความรู้การเริ่มต้นทำ Podcast สำหรับมือใหม่เพื่อที่จะได้รู้ว่าต้องใช้อะไรบ้าง เพื่อให้ได้เสียงแบบมืออาชีพ โดยใช้งบประมาณในการลงทุนน้อยแต่ได้ประสิทธิภาพสูง รับรองว่าอ่านจบเปิด Podcast ของตัวเองได้ทันที บอกเลยว่าง่ายมากๆ 😃
Program(โปรแกรม) ในตอนนี้มีโปรแกรมที่ใช้งานได้ดีและฟรีในท้องตลาดเยอะแยะมากมาย เริ่มกันที่โปรแกรม Audacity เป็นโปรแกรมใช้อัดเสียงและตัดต่อเสียงโดยไม่ว่าจะใช้ Desktop PC หรือ MacOS ก็สามารถโหลดมาใช้ได้ฟรีๆ ไม่เสียตัง ถึงแม้หน้าตาจะไม่ได้ดูดี แต่รับรองว่าใช้ง่าย ได้งานที่มีประสิทธิภาพ ส่วนใครที่ใช้ Mac ก็ง่ายๆเลยเพียงแค่ใช้ Garageband ที่ติดมากับเครื่องสามารถใช้ได้เลยใช้งานง่ายเช่นกัน พร้อมฟังก์ชั่นการทำงานที่น้องๆโปรเฟสชั่นแนลโปรแกรมกันเลยทีเดียว อีกโปรแกรมนึงที่ใช้ได้ทั้งสองระบบปฎิบัติการก็คือ Pro tools First ซึ่งเป็นโปรแกรมที่โปรเฟสชั่นแนลทั่วโลกด้าน Audio ใช้งานกัน โดยตัวนี้จะเป็นเวอร์ชั่นไลท์ ที่สามารถโหลดมาใช้ได้ฟรีแต่จะจำกัดการใช้ฟังก์ชั่นต่างๆและ ให้ Plug-In บางตัวแถมมาเท่านั้น ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการทำ Podcast หรือใครที่ทำงานต้องใช้โปรแกรมใน Adobe suite ก็จะมีโปรแกรม Audition ที่ไว้ใช้งานด้านเสียงโดยเฉพาะ ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยโปรแกรมที่กล่าวถึงมานี้เป็นโปรแกรมที่นิยมใช้กันในท้องตลาด มีคลิปสอนการใช้งานเบื้องต้นเต็มไปหมดบน Youtube หาดูได้เลยไม่ว่าจะใช้งานด้านไหนมีสอนหมด อีกอย่างนึงไม่ต้องห่วงเรื่องสเปคคอมที่ต้องแรงแพงกระเป๋า เพราะการทำ Podcast จะเน้นที่เสียงเป็นหลัก(Audio File) ซึ่งไฟล์เสียงจะเล็กกว่างานวิดิโอและไม่ได้มีมากมายหลายแทรค(Track) เหมือนการทำเพลง ดังนั้น CPU คอมรุ่นใหม่ๆที่สเปคไม่สูงมากนักสามารถใช้งานได้อย่างแน่นอน แม้แต่ IPad ธรรมดาๆก็ทำได้ชิวๆ หมดกังวลเรื่องความแรงคอมพิวเตอร์ไปได้เลย
Microphone (ไมค์โครโฟน) เมื่อเลือกโปรแกรมได้แล้ว คราวนี้คือพระเอกของการทำ Podcast แล้วล่ะ ในท้องตลาดทั่วไปไมค์โครโฟนมีหลากหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะกับการอัดเสียงแต่ล่ะอย่างแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่ที่นิยมใช้ในการอัดเสียงร้อง เครื่องดนตรี หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่นิยมใช้ในวงการบันทึกเสียง จะมีไมค์อยู่สองประเภท Dynamic และ Condenser ซึ่งความแตกต่างจะขออธิบายง่ายๆ ไม่ลงลึก เข้าใจได้ง่ายดังนี้ อย่างแรก วัสดุภายในและการใช้งานของไมค์ต่างกัน ไมค์ Dynamic จะมีวัสดุที่เหมาะแก่การใช้งานสมบุกสมบัน ซึ่งจะเห็นได้ตามงาน คอนเสิร์ต ผับ หรืองานอีเว้นต่างๆ สามารถรับย่านความถี่(Frequency range)ได้ประมาณนึงไม่กว้างมากนักซึ่งแน่นอนว่ารับย่านเสียงพูดได้ และใช้พลังงานตำ่ ในขณะที่ไมค์ Condenser วัสดุภายในจะค่อนข้างอ่อนไหวต่อแรงกระแทก รับย่านความถี่ได้กว้างมาก ต้องมีไฟเลี้ยงตลอดเวลาที่ใช้งานที่เขาเรียกกันว่า Phantom power/48V เวลาต่อไมค์ประเภทนี้ใช้งาน จะมีปุ่มบนซาวด์การ์ด (Audio Interface) ให้กดก่อนใช้งานเพื่อปล่อยไฟฟ้าเข้าไป ทั่วๆไปแล้วจะเห็นไมค์ประเภทนี้ได้ตามห้องอัดเสียงที่มีการทำ Accoustic Room มาเป็นอย่างดี เพราะอย่างที่ได้กล่าวไว้ว่า ตัวไมค์รับย่านความถี่ของเสียงได้กว้างมาก ความละเอียดในการใช้งานสูงและแม่นยำ ไม่เหมาะกับที่ที่มีเสียงรบกวนเยอะจะทำให้ได้เสียงที่เราไม่ต้องการเข้ามาด้วย อย่างที่สองคือ ราคา Condenser มีราคาสูงกว่า Dynamic ซึ่งแน่นอนว่าไมค์ทั้งสองแบบต้องต่อพ่วงกับ ซาวด์การ์ด (Audio Interface) แต่ปัจจุบันนี้มีไมค์อีกแบบนึงที่เป็นที่นิยมสำหรับนักจัดรายการ Podcast นั่นก็คือไมค์แบบ USB นั่นเอง เพียงเสียบ USB เข้าไปและตั้งค่า I/O (Input-Output) ก็ใช้งานกับโปรแกรมอัดเสียงได้เลย สะดวก ง่าย แถมไมค์บางเจ้าแถมโปรแกรมมาให้เรียบร้อยเหมือนรู้ว่าจะเอาไปทำอะไรเลยทีเดียว🤪 ซึ่งมีหลากหลายราคาตั้งแต่หลักไม่กี่พันไปจนถึงหมื่นต้นๆก็หามาใช้งานได้แล้ว
Head Phone (หูฟัง) อุปกรณ์ชิ้นนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งเอาจริงๆแล้วจะใช้หูฟังแบบไหนก็ได้ แต่ถ้าอยากได้ฟังชัดๆให้เสียงที่เที่ยงตรง เพื่อให้ง่ายต่อการมิกซ์ควรเลือกแบบที่เป็น Monitor ที่ให้เสียง Flat Tone จะดีที่สุด การใช้หูฟังที่มีฟังก์ชั่นเพิ่มเบส หรือ Boose บางย่านความถี่เสียงเข้ามา จะทำให้ได้เสียงที่หลอกไปหน่อย ยากต่อการมิกซ์หรือปรับ EQ ในภายหลัง ยกตัวอย่าง สมมุติใช้หูฟังที่เพิ่มเสียงเบสหนักๆเข้ามา เวลามิกซ์ เราจะนึกว่าเสียงเรามีเบสเยอะไป พอเวลามิกซ์ก็ไปกดเสียงเบสลง พอเวลาฟังในสภาพแวดล้อมจริง เสียงจะออกมาแห้งๆ😓 ผิดปกติ เพราะตอนเราฟังในหูฟังมันมีเบส แต่พอฟังลำโพงทั่วไปที่แต่ละคนก็ปรับนู่นนี่นั่นไม่เหมือนกัน ทำให้ได้เสียงไม่มาตรฐานนั่นเอง นี่คือเหตุผลว่าทำไมควรเลือกหูฟังแบบ Monitor ซึ่งปัจจุบันนี้มีให้เลือกมากมายหลากหลายราคาหาซื้อได้ง่ายไม่เหมือนสมัยก่อนที่ส่วนใหญ่จะเป็นคนในวงการใช้งานกัน หาซื้อยากและราคาสูง
Accessories (อุปกรณ์เสริม) Microphone arms ขาตั้งไมค์แบบตั้งโต๊ะ ซึ่งก็มีให้เลือกทั้งแบบขาตั้งเล็กๆวางบนโต๊ะ หรือแบบหนีบกับโต๊ะปรับตำแหน่งได้หลากหลายรูปแบบ
Shock mount ตัวที่ยึดจับไม่โครโฟน จะช่วยในเรื่องป้องกันการสั่นสะเทือนในขณะที่เราพูด เช่นบางทีมืออาจโดนโต๊ะหรืออะไรก็แล้วแต่ มันสะเทือนไปถึงไมค์ทำให้มีเสียงที่เราไม่ต้องการเข้ามาได้ ซึ่งไมค์ condenser ราคาแพงๆมักจะมีแถมเจ้าตัวนี้มาให้
Pop filter/Foam น่าจะเคยเห็นกันมาบ้างไอ้เจ้าห่วงกลมที่กั้นระหว่างไมค์กับนักร้องหรือแบบโฟมหนาๆที่คลอบหัวไมค์ ซึ่งมันไม่ได้เอาไว้กันนำ้ลายเปื้อนไมค์อะไรหรอกหรืออาจใช่ก็ได้มั้ง😜 จริงๆแล้วมันเอาไว้กันหรือลดเสียง P, S, T เวลาเราพูดบางประโยคที่เสียงเหล่านั้นถูกเน้นหนักๆ เพราะมันจะทำให้เกิดเสียงลมหายใจเข้าไปในไมค์มากเกินไป ยากต่อการแก้ไข เอาจริงๆในวงการ Audio มันแก้ปัญหาเหล่านี้ได้หมดแต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็น แต่ไม่มีเลยก็จะดีที่สุด ทั้งสามอย่างนี้จะช่วยในงานของเราดีขึ้นอย่างแน่นอน
เพียงแค่นี้ก็สามารถทำ Podcast เองได้ง่ายๆที่บ้านแล้ว แต่ต้องบอกก่อนว่าบทความนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทำ Podcast แบบพูดเนื้อหาเองคนเดียวแล้วอัดหรือไลฟ์สด ถ้าในกรณีมีแขกรับเชิญหลายคนพูดพร้อมๆกัน หรือมีอัดเสียงพูดผ่านโทรศัพท์ หรือมีการใช้เสียง SFX (Sound Effects) แทรกระหว่างรายการ ก็ต้องเพิ่มอุปกรณ์บางอย่างเสริมเข้ามาอีก ซึ่งไม่ใช่ใจความสำคัญของบทความนี้ที่ต้องการแนะนำคนที่อยากเริ่มทำในเบื้องต้น ได้ทำแบบง่ายๆ ลงทุนในงบประมาณที่เหมาะสมไม่แพงจนเกินไป ก่อนที่จะเพิ่มอุปกรณ์เพื่อความเมามันส์ในการทำรายการ แต่ยังไงก็แล้วแต่ ลองนำข้อมูลเหล่านี้ไปเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจ เพื่อที่วงการ Podcastในประเทศไทยจะมีอะไรใหม่ๆมาให้ฟังเพิ่มมากขึ้นไปอีก อาเมน สวัสดี