John Mayer-สไตล์เพลงของผมคือความล้มเหลวที่พยายามทำเพลงเหมือนคนอื่น [ประวัติและผลงาน]

NunUpOrShutup
3 min readJun 19, 2020

เชื่อว่าหลายๆคนต้องมีศิลปินโปรดกันบ้างแหละ ส่วนตัวผู้เขียนแล้วตอนเรียนมัธยม ทุกวันหลังจากกลับจากโรงเรียน จะเปิดแผ่น mp3 ฟังเพลงฝรั่ง ซึ่งเพลงแรกๆในแผ่นคือ ‘Back to you’ และ ‘No sush thing’ พอพูดปุ๊บเสียงเพลงยังคงดังกึกก้องอยู่ในหู ภาพบรรยากาศต่างๆมันย้อนกลับมาทุกครั้งที่ฟัง กลิ่นเหงื่อไคล้ที่ไม่ยอมอาบนำ้ทำการบ้านหลังจากกลับมาจากโรงเรียนยังคงอยู่ในความทรงจำ ความสุขในการฟังเพลง เสียงเพลงฝรั่งที่ฟังยังไงก็ไม่รู้เรื่อง แต่ทำไมชอบจังว่ะ!!! พูดกับตัวเองในใจ วันนี้จะมาแนะนำศิลปินเพลงที่ผู้เขียนชอบเป็นพิเศษให้อ่านกันโดยเป็นการที่ผู้เขียนแปลและเรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์สารคดีชีวประวัติอย่างคร่าวๆ รวมทั้งแทรกบางเนื้อหานิดหน่อย

“ถ้าพร้อมกันแล้ว ไปทำความรู้จักกันเล๊ยยยยย”

John Clayton Mayer เกิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 1977 ที่ Bridgeport, Connecticut, USA ในครอบครัวที่พ่อแม่เป็นอาจารย์สายวิชาการสุดๆ วันนึงพี่จอห์นได้ดูหนังเรื่อง Back To The Future ฉากที่ (Marty Mcffly) เล่นเพลง ‘Johnny B. Good’ ซึ่งเป็นเพลงดังแนว Rock n’ Roll สมัยยุค 50s ซึ่งออริจินอลเวอชั่นนั้นเป็นของ (Chuck Burry) AKA King of Rock n’ Roll ในยุคนั้น

และนั่นทำให้พี่แกสนใจกีต้าและอยากเล่นอย่างจริงจัง พออายุได้ 13 ปี พ่อจอห์นก็ไปเช่ากีต้ามาให้แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวพาไปเรียน หลังจากนั้นก็เล่นเป็นบ้าเป็นหลังจนแม่ของเขาต้องออกกฎว่า “ให้ซ้อมได้หลังจากเลิกเรียนจนถึงสามทุ่มครึ่งเท่านั้น”

ศิลปินที่มีอิทธิพลต่อแนวดนตรีของจอห์นยกตัวอย่างเช่น (Stevie Ray Vaughuan) และ (Jimmy Hendrix) ซึ่งทั้งคู่เป็นมือกีต้าสาย Blues Music ซึ่งถือว่าเป็นรากเหง้าของดนตรีอเมริกันที่ได้แพร่กระจายและเป็นพื้นฐานพัฒนาการเพลงแนว “Pop” ไปทั่วโลก(จริงๆแล้ว Pop Music ไม่ใช่แนวเพลงด้วยซำ้ในทางวิชาการ) หลังจากหัดเล่นกีต้ามาได้สักพักนึงพออายุได้ 17 ก็เริ่มเขียนเนื้อเพลงเองแต่หาคนร้องถูกใจไม่ได้สุดท้าย “กูร้องเองล่ะกัน” (ซึ่งเอาจริงๆ เสียงร้องพี่แกแอบเหมือน Stevie Ray Vaughuan เลย)

หลังจากนั้นในที่สุดพี่แกก็ตัดสินใจซื้อกีต้าเป็นของตัวเองจากการไปทำงานในปั้มนำ้มันจนในที่สุดก็เก็บตังได้ 900$ สุดท้ายก็ไปจัด Fender Stevie Ray Vaughuan (SRV) Stratocaster พ่วงด้วย TAKAMENE Accoustic 12 สาย ยังไม่พอ Mesa Boogie Distortion(Effect) อีกก้อนนึง หลังจากนั้นบ้าหนักเลยทีนี้ ซ้อมวันล่ะ 6 ชั่วโมงทุกวัน พอเรียนจบ Hight School ก็ได้ไปเรียนที่สถาบันดนตรีที่โดงดังแห่งหนึ่งในอเมริกา Berklee Colleage Of Music ที่ Boston นั่นเอง แต่เรียนได้ปีเดียวติ๊สแตกจ้าเลยดรอปแล้วก็ย้ายไป Geogia รัฐในทางตอนใต้ของอเมริกาแล้วก็ไม่ได้กลับไปเรียนอีกเลย และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางสายดนตรีของเขาอย่างแท้จริง

“You developed a style when you failed to sound exactly like

the person you tried to sound like”

หลังจากย้ายมาที่ Atlanta, Geogia ได้ 4-5เดือนในปี 1998 ก็เริ่มเขียนเพลงกับเพื่อนแกคนนึง(Clay Cook) เริ่มไปเล่นตามผับตามบาร์เริ่มมีแฟนเพลงกลุ่มน้อยๆ แล้วพอดีอินเตอร์เน็ตเริ่มแพร่หลายมากขึ้นในอเมริกา จอห์นก็ใช้โลกอินเตอร์เน็ตยุคนั้นในการติดต่อสื่อสารกับแฟนเพลงเพื่อประชาสัมพันธ์งานโชว์ของเขาเอง และในที่สุดปี 1999 ก็ออกอัลบั้ม EP ของตัวเอง ชื่อว่า John Mayer:Inside Wants Out จากนั้นปี 2000 ย้ายไป Austin, Texas ขณะกำลังเล่นโชว์ของตัวเองอยู่ก็ดันไปเตะตาแมวมองจากค่าย Columbia Picture ถุย!!! Columbia Records แล้วก็ย้ายไปทำงานเพลงกับค่ายนี้ที่ New York ในที่สุดอัลบั้มแรกบนดิน Room for square อัลบั้มที่ทำให้ผู้เขียนรู้จักพี่จอห์นเป็นครั้งแรกและเพลงจากอัลบั้ม EP ก็ได้รับการเรียบเรียงใหม่ใส่เข้ามาในอัลบั้มบนดินด้วย โดยเพลงเปิดตัวคือเพลง No Such Thing ที่มี Rythm ชวนโยกหัวเบาๆซาวอคูสติกกีต้าริฟเท่ๆตอนต้นผสมกันได้อย่างลงตัวมีอัตลักษณ์เป็นของตัวเองสุดๆ อีกเพลงนึง Your Body is Wonderland เพลงนี้ได้รางวัล Grammy Award ในปี 2003 ในสาขา Best Male Pop Vocal Performance ไวมากๆออกอัลบั้มแรกก็ได้รางวัลเลย จนเจ้าตัวพูดเองบนเวทีว่า

“I just wanted to say this is very very fast, and I promise to catch up”

Havier Things คืออัลบั้มที่สอง ซิงเกิ้ลเปิดตัว Bigger Than My Body ที่พูดถึงตัวตนที่อยากจะเป็นดั่งฝันแต่มันไม่ได้เป็นภายในชั่วข้ามคืน โดยตัวเพลงยังคงอัตลักษณ์ในแบบฉบับของตนเองอยู่แต่มีการใช่กีต้าไฟฟ้าเป็นตัวเอกอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับอัลบั้มแรกพัฒนาการทางด้านการทำเพลงพัฒนาอยู่ตลอด ปี 2005 เพลง Duagthers ได้รับรางวัล Grammy Award สาขา Song of the year เพลงนี้จอห์นเขียนถึงแม่ของเขาเพื่อเป็นเพลงตัวแทนให้ลูกสาวทุกคนเลยน่ะจ๊ะ ในทางดนตรีค่อนข้างเท่ จากการผสมผสานความเป็น R&B และ Soul Music เข้ากันได้อย่างกลมกลืนคอร์ดกีต้าแบบ Open Voicing มือกีต้ามือใหม่หัดแกะกันจ้าละหวั่นกันเลยทีเดียว คอร์ดน้อยแต่เท่ จากความสำเร็จยอดขายเป็นล้านCopy จากทั้งสองอัลบั้ม ทำให้เริ่มกลัวว่าตัวเองจะขึ้นไปอยู่บนหิ่งหรือเปล่ากลัวแฟนเพลงเข้าไม่ถึง

“1st Record get them in, 2nd Record make them Think, 3rd Record crush them”

ในปีเดียวกันจอห์นก็ออกอัลบั้ม John Mayer Trio เป็น Live Album ขำๆที่มีนักดนตรีขั้นพระกาฬอีกสองคนคือ (Steave Jordan) มือกลองที่อัดกลองให้ตั้งแต่อัลบั้มที่สอง หลายๆเพลง เฮียแกตีได้ Groove สุดๆไม่ต้องเล่นเยอะแต่โยกหัวทิ่มหัวตำ แกมี Snare เป็นของตัวเองด้วยน่ะจากค่าย Yamaha และอีกคนนึงคือ (Pino Palladino) มือเบสนั่นเอง ตัวเพลงในชุดนี้มีแค่สามเพลงเท่านั้นมาในสไตล์ Blues, Rock, Funky ผสมได้อย่างลงตัวเท่สุดๆ ฉีกอัตลักษณ์ความชัดเจนในตัวเองเพิ่มความเก๊าเข้ามาอีกเพื่อให้แฟนเพลงติดตามกันต่อเนื่อง

พอปลายปี 2005 ย้ายไป LA จ้า ทำอัลบั้มจริงจังชิ้นที่สามชื่อว่า Continuum ปล่อยมาในปี 2006 อัลบั้มนี้พี่จอห์นโปรดิวซ์ร่วมกับ (Steave Jordan) มือกลองโดยให้คอนเซปไว้ว่า

“It does not have to be made difficult”

และอัลบั้มนี้บ่งบอกความเป็นตัวจอห์นมากที่สุดถึงขนาดเอ่ยปากว่า “I kinda found myself” เพลงดังจากชุดนี้เยอะมากๆ โดยส่วนตัวผู้เขียนแล้วเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดอัลบั้มนึงเลย เพลงฮิตเช่น Stop This Train ที่เขียนถึงพ่อแม่ที่เริ่มแก่ขึ้นโดยที่เราทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยตัวเพลงใช่เสียงอคูสติกกีต้าเป็นตัวเอกนำทั้งเพลง ผสมกับเทคนิค Finger Style ที่แปลกประหลาดในการเล่นมือขวา มือกีต้าคงรู้ดีว่ามันมึนเบอร์ไหนในการพยายามเล่น นอกจากนั้นยังมีเพลงช้า 6/8 ซึ่งเป็น Element ที่ฮิตมากในการทำเพลง Soul R&B ให้ถึงใจและได้อารมณ์ เช่นเพลง Gravity ที่พี่แกเขียนขึ้นมาเพื่อเตือนตัวเองว่าอย่าหลงในความสำเร็จในอายุน้อยล้านมากนักน่ะ ในที่สุดก็ตามคาดอัลบั้มนี้ได้รับรางวัล Grammy Award อีกแล้วในสาขา Best Pop Vocal Album ตามมาด้วยเพลง Waiting on the World To Change ที่ได้รางวัลในสาขา Best Male Pop Vocal Performance อีกด้วย ส่วนตัวเพลงนี้เท่ๆสุดแค่ Groove กลองก็หล่อแล้วสไตล์การเล่นกีต้ารีฟแบบ Blues Funk ก็หล่อสุดๆ

ปี 2009 อัลบั้ม Battle Studies ก็ออกมาจนได้เป็นอัลบั้มที่สี่ที่จอห์นบอกว่าเป็นแบบ California Rock มีกลิ่นสไตล์ Country แบบ West Coat เบาๆ ซิงเกิ้ลเปิดตัว Haft Of My Hart ที่ Featuring กับ Taloy Swift ใช้นักดนตรีเซทเดิมกับอัลบั้มที่แล้วเลยมีกลิ่นอายทางดนตรีที่มีความคล้ายกัน หลายเพลงที่เพราะๆอีกมากมายในอัลบั้มนี้ เช่น Who Says, Assasin, Heartbreak Warfare

“Sometimes you can discover something by playing music and you get to the point where you realize Wow!!! I think I found a new doorway into something”

จากนั้นก็เริ่มมีปัญหาเรื่องชู้สาวบลาๆๆ ปัญหาเรื่องความ Arrogant แบบสุดๆเวลาตอบคำถามนักข่าวสร้างความฮือฮา Gossip ข่าวบันเทิงไปทั่วอเมริกา ทำให้เซงไปพักใหญ่จนถึงขั้นเข้ารับการบำบัด

ในปี 2010 อัลบั้ม Born And Raised ก็ปล่อยออกมาหลังจากเก็บตัวเงียบจากข่าวฉาวไปสักพักนึงโดยในการทำงานชุดนี้เปลี่ยนการทำงาน โดยการหาซื้อพิมพ์ดีดแบบรุ่นคุณป้ามาเครื่องนึงแล้วก็พิมพ์เนื้อเพลงสามสี่แผ่นทุกวัน ทำจนเป็นชีวิตประจำวันเลยก็ว่าได้ เขาจะไม่ไปห้องอัดมือเปล่าเด็ดขาดต้องมีอะไรติดมือไปถึงแม้จะไม่ได้ร้องก็เถิด รวมไปถึงจะไม่มีการใช้ Vistual Music Instument (Plug-in, Looping) เลยในอัลบั้มชุดนี้ โดยแทบจะทำงานกับแค่ Sound Engineer เท่านั้น พิมพ์เนื้อมา เอาเข้าไปเล่นในห้องอัดเลย เล่นๆไปก่อน ถ้าเพลงไหนเวริคก็ค่อยมาเรียบเรียงอีกที จนกระทั่งออกซิงเกิล Shadow Days และ Queen Of California สไตล์เพลงอัลบั้มนี้ออก Country ชัดมากๆเลย แต่ก็ยังคงอัตลักษณ์ไว้ได้อย่างแยบยล สไตล์การแต่งตัวก็เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนไปเข้าป่าบรรลุธรรมมาก็ไม่ปาน เหมือนคาวบอยยังไงก็ไม่มีผิด แต่ก็ยังคงกางเกงยีนส์ขาม้ากับรองเท้า Chukka Boots ไว้เหมือนเดิม หลังจากทำอัลบั้มนี้เสร็จ ดันป่วยต้องเข้ารับการผ่ากล่องเสียงหลายครั้งต้องหยุดร้องเพลงไปสองปี ช่างเป็นช่วงเวลาที่อึดอัดใจไม่น้อยเลยทีเดียว

“ 2 years of disconnection that was a strange time to say I’m going to become forgettable. So that, I can be remembered again for what it worth”

ในที่สุดปี 2013 ก็กลับมาพร้อมกับอัลบั้ม Paradise Valley อัลบั้มนี้ Blues Country จ๋าเลยจ่ะ เข้าถึงอเมริกันชนสุดๆไปเลย งวดนี้ใช้เวลาทำแค่สองเดือน เพลงดังๆก็มี Who you love ที่ Featuring กับ (Katty Perry) เพลง Paper Doll ที่เอ็มวีเป็นคุณป้าคนนึงเต้นไปตามท้องถนนไปจนจบเพลง ส่วนตัวชอบเพลงนี้น่ะมันชิวดี

ปี 2017 ที่ผ่านมาไม่นานนี้อัลบั้มล่าสุดก็คือ The Search For Everthing ที่มีเพลงดังอย่าง Love On The Weekend, Moving On และ Still Feel like Your Man ให้หายคิดถึงหลังจากทิ้งหายไปสี่ปี สไตล์ลดความ Country ลดลงมา ออก Funky มากขึ้นฟังสนุกขึ้น และล่าสุดซิงเกิ้ลปี 2018 เพลง New Light ที่ออกมาเมื่อตอนพฤษภาคมด้วยสีสันแจ็คเก็ทม่วงมาเลยทีเดียว ทำให้นึกถึงสไตล์การแต่งตัวยุค 80s ไม่มีผิด เรียกได้ว่ายังคงเป็นนักดนตรีที่มีของปล่อยมาได้ตลอดเวลาเลยทีเดียว

ล่าสุดในปี 2019 จอร์นก็ได้ปล่อยซิงเกิ้ลเพลง Carry Me Away ออกมา ตัวเพลงยังคงชิวๆ ตามสไตล์ สมผสานเครื่องดนตรีแนว Country เพราะๆฟังได้เพลินๆ

7 รางวัล Grammy Award และถูกเสนอชื่ออีกหลายต่อต่อหลายครั้งกับ9 อัลบั้มเต็มตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา บ่งบอกถึงการสร้างดนตรีให้เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองนั้นต้องผ่านกระบวนการหลายอย่างลองผิดลองถูกกันมามากมาย ความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองแล้วทำมันออกมา แล้วยังคงมองหาความท้าทายใหม่ๆในการสร้างสรรค์งานเพลงออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างความสำเร็จได้อย่างท่วมท้น และความสำเร็จนั่นเองที่หวานหอมปนขมเมื่อเราหลงระเริงไปกับมันจนลืมตัวเปรียบเสหมือนดาบสองคมที่ต้องคอยระวังตัวเองอยู่เสมอ

อ้างอิง

กราบงามๆ — John Mayer: Someday I’ll fly https://www.youtube.com/watch?v=A2wsTv3zVD0&t=323s

--

--

NunUpOrShutup
0 Followers

I write a variety of shit from my experiences and what I’m interested in at the moment. Money, Relationship, Human Psychology, Entertainment. You name it! XOXO